เรื่องย่อ Kingdom : ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด
เรื่องราว Kingdom : ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด ภาค 1
ในตอนต้นของซีรีส์ซีซั่นแรกเริ่มต้นด้วยพระราชาสิ้นพระชนม์ด้วยไข้ทรพิษในขณะที่พระราชินีกำลังตั้งครรภ์ พ่อของราชินีเป็นเสนาบดีที่มีชื่อว่าโจฮักจู (รยูซึงรยง) ตัดสินใจที่จะปกปิดการตายของกษัตริย์จนกว่าพระราชินีโจ ( คิมฮเยจุน) จะให้กำเนิดลูกชาย ลูกชายคนนี้จะถูกต้องตามกฎมากกว่ามกุฎราชกุมารลีชาง (จูจีฮุน) ที่มีมารดาเป็นนางบำเรอ เป็นผลให้กษัตริย์ถูกฉีดวัคซีนด้วยพืชคืนชีพและต่อมาต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดในเวลากลางคืนที่ต้องถูกล่ามโซ่เอาไว้ เจ้าชายลีชางพยายามตามหาลีซึงฮุย (ควอนบอมแทค) หมอที่รักษากษัตริย์เป็นครั้งสุดท้าย เขาตกใจกับสิ่งที่เขาพบในกระบวนการตรวจสอบความเจ็บป่วยของพระราชา เขาเลยมุ่งหน้าไปยังจังหวัดคยองซังทางใต้พร้อมกับทหารคนสนิทอย่าง มูยอง (คิมซังโฮ) เพื่อค้นหาคำตอบที่ต้องการเพิ่มเติม ส่วนผู้ช่วยแพทย์ที่พวกเขาตามหาอยู่นั้นมีซอบี (แบดูนา) ดูแลผู้ป่วยแต่ผู้ป่วยทั้งหมดก็กำลังอดอาหาร ยองชิน (คิมซองกยู) หนึ่งในผู้ป่วยเลยได้ทำสตูว์สำหรับผู้ป่วยโดยที่เขาบอกว่าเป็นเนื้อกวางแต่แท้จริงแล้วเนื้อนั้นมาจากซากศพของคนที่ถูกพระราชากัดและผู้ป่วยทั้งหมดก็กลายเป็นซอมบี้อย่างรวดเร็ว
เรื่องราว Kingdom : ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด ภาค 2
เรื่องราวในซีซั่น 2 เริ่มขึ้นในฮันยาง พระราชินีได้รวบรวมสตรีมีครรภ์จำนวนมากที่แนซอนแจซึ่งเป็นที่ประทับส่วนตัวของเธอ ภรรยาของมูยอง (คิมซังโฮ) ก็อยู่ที่นั่นเช่นกันและถูกจับไปเป็นตัวประกันเพื่อบังคับให้มูยองสอดแนมความเป็นไปขององค์ชาย จุดประสงค์ของราชินีคืออยากเอาลูกชายของใครก็ได้มาแต่งตั้งเป็นรัชทายาท หากเป็นเด็กผู้หญิงจะถูกกำจัดกลายเป็นศพเป็นผลให้ผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษเกิดความสงสัยและต้องการค้นหาความจริง ส่วนในเขตซังจูพบว่าซอมบี้เหล่านั้นไม่ได้หมดเรี่ยวแรงเพราะแสงแดดแต่เป็นเพราะอุณหภูมิต่างหาก เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นลง ซอมบี้เลยสามารถมีชีวิตได้ทั้งกลางวันและกลางคืนและซอมบี้ไม่ได้กลัวแสงแดดอีกต่อไป
องค์ชายจึงตัดสินใจที่จะบุกเข้าวังเพื่อใช้เป็นที่คุ้มกัน ต่อมาไม่นานซอบีค้นพบวิธีรักษาซอมบี้ปรากฏว่าหากคนที่เป็นซอมบี้แช่น้ำจะมีแบคทีเรียลักษณะคล้ายหนอนออกมา ซึ่งแบคทีเรียนั้นทำให้คนกลายเป็นซอมบี้ เมื่อรู้ความจริงแล้วแต่ในขณะนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะราชินีสั่งให้ปล่อยซอมบี้ออกจากห้องทดลองและความโกลาหลในวังก็เกิดขึ้น องค์ชายไม่สามารถควบคุมความเสียหายได้อีกต่อไป องค์ชายและพรรคพวกได้หนีไปที่สวนด้านหลังและทำลายน้ำแข็งในบ่อ ซอมบี้หลายตัวเลยตกลงไปในน้ำและคนที่ถูกกัดแต่ยังไม่กลายร่างก็สามารถรอดจากการถูกซอมบี้กัด นั่นเป็นเพราะเชื้อโรคที่อยู่ในตัวตายไปกับน้ำ 7 ปีต่อมาซอบีและลีชางอดีตมกุฎราชกุมารได้ไปสอบสวนจังหวัดทางภาคเหนือของเกาหลีและได้เจอกับหญิงลึกลับนามว่าอาชิน (ชอนจีฮยอน) เธอได้ปรากฏตัวพร้อมกระดิ่งและเขาได้พบว่าในเขตนี้ยังมีซอมบี้อยู่ อีกทั้งยังทิ้งปมที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับอาชินและลูกชายของมูยองด้วย
ข้อมูลทั่วไปของซีรีส์ Kingdom : ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด
แนวซีรีส์ | การเมืองประวัติศาสตร์ ระทึกขวัญ |
---|---|
สร้างโดย | A story |
เขียนบท | คิมอึนฮี |
กำกับการแสดงโดย | คิมเซจองฮุน (ซีซั่นแรก) พัคอินแจ (ซีซั่นที่ 2 ) |
ช่องทางออกอากาศ | Netflix |
จำนวนตอน | ซีซั่นละ 6 ตอน ตอนละ 36 – 56 นาที |
นักแสดงนำ | จูจีฮุน (ลีชาง) รยูซึงรยอง (โจฮักจู) แบดูนา (ซอบี) คิมซังโฮ (มูยอง) คิมซองกยู (ยองชิน) คิมฮเยจุน (ราชินีโจ) |
นักแสดงสมทบ | จองซุกวอน (โจบอมอิล) คิมจองซู (คิมซัน) ควอนบอมแทค (อีซึงฮุย) จินซอนกยู (ด็อกซอง) อาอึนจิน (ภรรยาของมูยอง) ชอนจีฮยอน (อาชิน) |
ทำไมต้องดู Kingdom : ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด ?
1. มีดาราชั้นนำมาร่วมแสดงอย่างคับคั่ง
ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่ซีรีส์อิงตามประวัติศาสตร์ปกติ ถ้าคุณชอบ Game of Thrones ที่ผสมผสานระหว่าง Train to Busan ซีรีส์เรื่องนี้เหมาะสำหรับคุณ มันมีส่วนผสมที่ลงตัวของคนที่หิวโหยอำนาจกับซอมบี้ผสมผสานกันเล็กน้อย เมื่อคุณได้ดูมันจะทำให้คุณประทับใจและสร้างความประหลาดใจให้คุณไม่น้อย นอกจากนี้ซีรีส์เรื่องนี้ยังมีเหล่านักแสดงที่น่าประดับใจมากมาย
- จูจีฮุน (องค์ชายลีชาง) ในการกลับมาครั้งนี้จูจีฮุนได้กลับมารับบทเป็นเจ้าชายอีกครั้ง เป็นเจ้าชายที่ไม่ได้ฝักใฝ่ในอำนาจแต่เขามุ่งมั่นจะตามหาความจริงและไม่มีซอมบี้คนใดสามารถหยุดเขาได้ การต่อสู้ของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณจะเห็นว่าความพ่ายแพ้ไม่เคยอยู่ในคลังคำศัพท์ของเขา สำหรับจูจีฮุนเขาเคยขโมยหัวใจสาวไทยไปในซีรีส์เรื่อง Princess Hours แต่ขอบอกเลยว่าในเรื่องนี้เราจะได้เห็นบทบาทเขาในเรื่องที่ไกลตัวออกไปจากตอนที่เราเห็นเขาครั้งแรกใน Princess Hours แอบบอกอีกนิดสำหรับใครที่ยังไม่ทราบเขาก็คือพระเอกที่แสดงในเรื่อง Itaewon Class ด้วยนะคะ
- แบดูนา (ซอบี) แบดูนาเป็นนักแสดงหญิงชาวเกาหลีใต้ที่มีชื่อเสียงมาก เธอมีชื่อเสียงมากจากการปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง Cloud Atlas และ Jupiter Ascending ใน Kingdom เธอรับบทเป็นซอบี ผู้ช่วยแพทย์ที่ดูแลโรงพยาบาลชุมชนสำหรับผู้ยากไร้ในหมู่บ้านของเธอ เหตุการณ์พลิกผันอย่างมากเมื่อเกิดโรคระบาดที่แปลกประหลาดและลึกลับ เหตุการณ์นี้บังคับให้เธอต้องหนีเอาชีวิตรอด
- รยูซึงรยอง (โจฮักจู) ในเรื่องนี้เขารับบทเป็นพ่อที่รักลูกมาก เขาพร้อมจะให้ทุกอย่างเพื่อลูกสาวของเขา ด้วยการแสดงที่โดดเด่นของเขาจะทำให้คุณอารมณ์เสียได้เลย เพราะเขาแสดงได้สมบทบาทเกิน หากคุณเคยหลงรักเขาในเรื่อง Miracle in Cell No. 7 คุณคงเกลียดเขาในเรื่อง Kingdom แน่ ๆ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักแสดงที่ไม่ดี แต่เป็นเพราะเขาทำได้ดีมากจนคุณเกลียดเลยแหละ
ข้างต้นเป็นเพียงนักแสดงที่มีบทบาทค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังมีบทบาทและนักแสดงที่มีคุณภาพอีกมากมายที่เราไม่ได้กล่าวถึง บทบาทหนึ่งที่เราขอชมเชยเลยคือบทบาทของราชินีที่แสดงโดยคิมฮเยจุน ขอบอกเลยว่าผู้เขียนไม่เคยเกลียดใครมากขนาดนี้จนกระทั่งได้พบบทบาทของเธอ การแสดงของเธอนั้นดูเรียบ ๆ แต่มันจะทำให้คุณรู้สึกหมั่นไส้เข้าสู่โสตประสาทเลย หากมีคนแบบเธอจริง ๆ บนโลกเธอจะเป็นคนที่คุณจะไม่ยุ่งด้วยอย่างแน่นอน
2. ภาพและการถ่ายทำที่น่าสนใจ
ในซีรีส์ Kingdom เกือบทุกเฟรมให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูภาพวาดโดยมีภาพขนาดใหญ่ สีสันสดใสสวยงามและมีการจัดเฟรมที่ยอดเยี่ยม ในการถ่ายทำที่มีเอกลักษณ์จะช่วยเพิ่มความน่ากลัวและความยิ่งใหญ่ของฉาก นอกจากนี้ยังนำเสนอความสวยงามของเสื้อผ้าและสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของเกาหลีโบราณ แต่ยังคงความน่ากลัวไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุหนึ่งที่หลายคนชอบซีรีส์เรื่องนี้เพราะฉากที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะใครจะคิดว่าซอมบี้จะมีอยู่ในยุคโชซอน? ใครจะคิดว่าจะมีความเป็นไปได้ที่มนุษย์กินเนื้อจะมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น? เหตุผลนี้ทำให้เรื่องราวแตกต่างจากเรื่องราวซอมบี้ทั่วไปที่เราเคยเห็น การจัดระดับสีของซีรีส์ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยความหรูหราเมื่อมาถึงฉากที่น่าขนลุกตัวซีรีส์จะมีเฉดสีสดใสของฤดูใบไม้ร่วงที่สดใสเช่น สีแดง ส้มและเหลือง ส่วนในฉากทั่วไปจะมีเฉดสีบลูส์และสีน้ำตาลอมเทาเพื่อบอกถึงอารมณ์ของฉาก นอกจากนี้ยังกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยซาวด์แทร็คที่เข้ากับแต่ละฉาก
3. มีเหล่าซอมบี้ที่ดูน่ากลัวชวนลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง
ขอบอกเลยว่าซีรีส์เรื่อง Kingdom คัดเลือกนักแสดงที่มาเป็นซอมบี้ได้ดีจริง ๆ เพราะว่าซอมบี้ในเรื่องนี้ไม่มี CG เลย ใช้คนแสดงล้วน ๆ ตัวละครแต่ละตัวสวมเสื้อผ้าทีเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเลือด นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งผิวหน้าและสวมใส่คอนแทคเลนส์สีขาวให้เหมือนกับซอมบี้จริง แม้ว่าซอมบี้พวกนี้จะถูกมองว่า “ติดเชื้อ” แต่เราก็สามารถเรียกง่าย ๆ ว่า “สัตว์ประหลาด” ก็ได้ ซอมบี้ในเรื่องนี้สามารถวิ่ง กระโดดและกัดได้เป็นการช่วยเพิ่มองค์ประกอบที่ทำให้คนดูหัวใจหยุดเต้นและบีบหัวใจมาก
ซอมบี้ในเรื่องสามารถกำจัดได้ด้วยการตัดหัวและการเผาแบบดั้งเดิม แต่หากไม่กำจัดมันมันจะไล่ล่าคุณตลอด สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความระทึกใจและความตื่นเต้นให้กับเรื่องราวของผู้รอดชีวิต ในซีซั่นแรกซอมบี้ต้องหลบหนีความร้อนของดวงอาทิตย์และคลานไปใต้ร่มเงาที่มืดมิดเพื่อซ่อนตัวรวมถึงใต้พื้นไม้ยกพื้นของบ้านแบบดั้งเดิมในยุคนั้น หรือใต้ก้อนหินขนาดมหึมาที่ขนาบข้างถนนและทางเดินเพื่อหลบหนี สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือการแพร่กระจายของเชื้อจะแพร่กระจายทันทีหลังจากโดนกัดด้วย แต่ในซีซั่นที่ 2 จะมีเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป นั่นเป็นเพราะความจริงของซอมบี้ถูกเปิดเผยว่าได้รับเชื้อมาได้อย่างไรและมีวิธีจัดการอย่างไร อีกทั้งในซีซั่นที่ 2 จะมีความโหดอยู่ที่ว่าซอมบี้นั้นสามารถออกล่าได้ทั้งกลางวันและกลางคืน มันจะไม่กลัวแสงแดดอีกต่อไป
4. มีฉากต่อสู้ที่น่าประทับใจ
นอกจากท่าทางของการแสดงของซอมบี้ที่ทำให้เราหัวใจหยุดเต้นแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของนักรบด้วย ตัวละครแต่ละตัวมีท่าทางการฟันดาบที่สง่างามและแฝงไปด้วยความมุ่งมั่น ซีรีส์เรื่องนี้ผสมผสานระหว่างการต่อสู้ การเอาชีวิตรอดที่สิ้นหวังและการต่อสู้อย่างมีศิลปะ อีกทั้งยังมีตัวละครบางตัวที่แสดงออกถึงความกล้าหาญในการต่อสู้มากกว่าที่ผู้ชมคาดหวัง
ในซีรีส์เรื่องนี้เราจะได้เห็นกลยุทธ์ทางทหาร การใช้เครื่องมือและกับดักอย่างชาญฉลาดทำให้การแสดงรู้สึกเหมือนสงครามเต็มรูปแบบ ทุกคนในซีรีส์เรื่องนี้จะได้แสดงฉากบู๊ตั้งแต่องค์ชายและผู้คุ้มกันที่ถือดาบ รวมไปถึงยองชินก็มีความสามารถในการใช้อาวุธปืนได้อย่างยอดเยี่ยมและแข็งแกร่ง อีกทั้งตัวละครอย่างซอบีที่ดูเหมือนจะบอบบางแต่เธอก็กล้าที่จะต่อสู้ไม่หวั่นกลัวกับอันตราย
5. มีการวางอุบายทางการเมืองที่แยบยล
ในโลกนี้การแบ่งแยกชนชั้น มีความชัดเจนและส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเมืองระดับโลกในยุคนั้นจริงๆ เช่นเดียวกับการแสดงศักดิ์ศรีอื่น ๆ ที่สร้างความสุขให้กับผู้ชม ในช่วง 2 – 3 ทศวรรษที่ผ่านมาการเมืองเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแรงผลักดันในทุก ๆ เรื่อง ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่เรื่องนี้จะต่างออกไปเพราะมีการเมืองและซอมบี้มาเกี่ยวข้อง เราพูดได้เลยว่าการเมืองดังกล่าวเป็นสาเหตุของการติดเชื้อทั้งหมดในตอนแรกมีการปล่อยโรคระบาดออกมาเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองโดยผู้นำที่ไร้ความปรานีอย่างเสนาบดีโจฮักจูหัวหน้าตระกูลโจผู้มีอำนาจ เพื่อทำให้ลูกสาวของเขากลายเป็นมเหสีของจักรพรรดิและปรากฏตัวต่อสาธารณะเพื่อโชว์ตัวว่ามีรัชทายาท แต่ก่อนที่รัชทายาทจะคลอดออกมากษัตริย์ก็สิ้นชีพแล้ว เขาเลยพยายามรักษากษัตริย์ผู้ล่วงลับให้กลับมามีชีวิต (ซอมบี้) เพื่อป้องกันไม่ให้มกุฎราชกุมารลีชางที่้เป็นลูกของสนมเข้าครองบัลลังก์ สำหรับซีรีส์เรื่องนี้โจฮักจูได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคนเดียวก็เป็นภัยคุกคามต่อตัวละครเอกมากพอ ๆ กับซอมบี้และการใช้กลวิธีเหล่านี้ทำให้ซีรีส์มีความซับซ้อนที่เหนือกว่าการต่อสู้กับซอมบี้ด้วย
ขอบอกเลยว่าถึงแม้ซีรีส์จะมีเพียงแค่ 6 ตอนต่อ 1 ซีซั่นแต่ก็สามารถทำให้การแสดงมีจังหวะที่สมบูรณ์แบบในการเล่าเรื่องโดยไม่ต้องเคลื่อนไหวเร็วเกินไปหรือหยุดนิ่งเกินไป บ่อยครั้งซีรีส์ใน Netflix บางเรื่องมีจำนวนตอนที่เยอะมากแต่วกไปวนมามีบางเรื่องราวที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ Kingdom หลีกเลี่ยงปัญหานี้ด้วยการนำเสนอตอนที่มีความยาวเต็ม 6 ตอนซึ่งแต่ละตอนเล่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นในขณะที่ยังคงหาบางช่วงเวลาที่จะปล่อยให้ผู้ชมได้หายใจหายคอบ้าง
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประทับใจคือเรื่องราวของซอมบี้ที่ไม่ได้เกี่ยวกับซอมบี้จริง ๆ ตามธรรมเนียมของซีรีส์สยองขวัญ แต่ซอมบี้เป็นตัวแทนของความเจ็บป่วยทางสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น มีความหิวโหยในอำนาจที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อในตอนแรก มาถึงตอนนี้แล้วก็อย่าลืมไปติดตามซีรีส์เรื่อง Kingdom กันนะคะ ตอนนี้มี 2 ซีซั่นแล้ว คาดว่าซีซั่นภาคแยกอย่าง Kingdom: Ashin of the North น่าจะลงจอในต้นปี 2021 นี้เช่นกัน